“กาแฟ” เรียกได้ว่าเป็นปัจจัยที่ 5 ของคนบางคนเลยก็ว่าได้นะครับ เพราะต้องกินทุกวัน วันไหนไม่กินก็อาจจะอารมณ์ไม่ดี และไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันตามปกติได้ เนื่องจากว่ามีความง่วงมาเยือนระหว่างวันนั้นเอง ซึ่งกาแฟเป็นเครื่องดื่มที่ทานง่าย มีหลายสูตรให้เลือกลิ้มรสกัน และจะดีกว่าไหม? หากเครื่องดื่มกาแฟที่เรากินทุก ๆ วันนี้ มันสามารถลดความอ้วนได้?

แน่นอนครับว่ามีคนคิดแบบนี้ จึงทำให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์กาแฟลดความอ้วน หรือกาแฟลดน้ำหนัก (Slimming Coffee) ขึ้นมามากมาย มีให้เลือกหลายยี่ห้อเลยทีเดียว ผู้อ่านก็คงจะไม่ทราบหรอกใช่ไหมครับว่ากาแฟลดความอ้วนยี่ห้อไหนดี? มันลดได้จริงไหม? และอันตรายหรือไม่? มาอัปเดตเรื่องนี้ในปี 2023 กันครับ – หมอไอซ์ Amara Clinic (KOL Trainer แพทย์ผู้สอนดูดไขมัน)

กาแฟลดความอ้วนได้จริงไหม?

หลายคนคงสงสัยว่ากาแฟลดความอ้วนและลดน้ำหนักได้จริงไหม? คำตอบคือสามารถลดได้จริง เพราะในกาแฟมีคาเฟอีน (Caffeine) ที่ช่วยให้ระบบเผาผลาญพลังงานของร่างกายมีอัตราที่สูงขึ้นถึง 11% ทำให้ไขมันส่วนเกินถูกเผาผลาญออกไปได้มากถึง 13% นอกจากนี้ กาแฟยังเป็นสิ่งที่ไม่สะสมในร่างกาย เมื่อทานกาแฟเข้าไปแล้ว ร่างกายก็จะขับออกมาภายใน 4 ชั่วโมง (รวมไปถึงขับน้ำในร่างกายด้วย) ทำให้มีโอกาสที่น้ำหนักจะลดลง ไขมันส่วนเกินถูกนำไปเผาผลาญ และทำให้รูปร่างค่อย ๆ ผอมลงได้ แต่มันก็ในระดับหนึ่งเท่านั้นนะครับ แต่ที่สำคัญเลย คือเราควรทานกาแฟดำที่ไม่มีส่วนผสมของนมและน้ำตาล และควรทานในปริมาณที่เหมาะสมต่อวันด้วย เพราะการทานมากเกินไปอาจทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายได้เช่นกัน

กินกาแฟลดความอ้วนอย่างไร ให้ปลอดภัย?

• เลือกกาแฟลดความอ้วนยี่ห้อที่เชื่อถือได้ ผ่านการรับรองจากอย. และมีส่วนผสมจากธรรมชาติ
• เลือกกาแฟลดความอ้วนที่ไม่ได้การโฆษณาสรรพคุณเกินจริง
• ทานกาแฟที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำตาล นม และครีมเทียม
• ทานกาแฟเพียงวันละ 1 – 2 แก้วเท่านั้น ไม่ควรทานมากจนเกินไป
• รับประทานน้ำเปล่าให้เพียงพอในแต่ละวัน น้ำเปล่าช่วยกระตุ้นระบบขับถ่ายและระบบเผาผลาญได้ดี
• เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เลี่ยงของหวาน ของทอด ของมัน และลดปริมาณอาหารลง

“ดูดไขมัน” ทางเลือกที่ดีกว่าในการลดส่วนเกิน

สำหรับใครที่อยากลดความอ้วน ในแง่ของการทำให้สัดส่วนเล็กลง เปลี่ยนขนาดของไซซ์เสื้อผ้าให้เล็กลง หรือกำจัดไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด สนใจด้านความสวยงามของรูปร่างมากกว่าน้ำหนักตัว หมอขอแนะนำให้รู้จักกับการดูดไขมัน (Liposuction) เลยครับ อาจจะต้องเสียเงินมากกว่า มีแผลเล็กน้อย มีความเจ็บบ้าง และต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นตัวของร่างกายระยะหนึ่ง แต่ผลลัพธ์ที่ได้นับว่าคุ้มค่ามาก เช่น สัดส่วนลดลงอย่างเห็นได้ชัด, ไซซ์เสื้อผ้าเล็กลงทันทีหลังทำ, ไขมันถูกดูดออกมาอยู่ในถังให้เห็นแบบชัดเจน และสามารถพูดคุยเรื่องรูปทรงของหุ่นที่ต้องการกับแพทย์ได้ด้วย อย่างบางคนอาจจะอยากมี Sexy Line, Six Pack, ร่อง 11 หรือเอวเอส เป็นต้น

ดูดไขมันน้ำหนักลดไหม?

หลาย ๆ คนสงสัยว่าดูดไขมันน้ำหนักลดไหม? จริง ๆ แล้วจุดประสงค์ในการดูดไขมันจะเป็นเรื่องของการลดสัดส่วน ไม่ใช่การลดน้ำหนัก เนื่องจากเซลล์ไขมันมีน้ำหนักที่เบามาก เมื่อเทียบกับกล้ามเนื้อจะเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจนเลยว่ามีน้ำหนักเท่ากันก็จริง แต่ขนาดของไขมันจะใหญ่กว่าหลายเท่าตัว ดังนั้น การดูดไขมันไม่ได้ช่วยให้น้ำหนักลดแต่อย่างใด

แต่ก็มีบางเคสที่น้ำหนักลดลงหลังจากดูดไขมันได้ หากเป็นการดูดไขมันออกมาในปริมาณมาก อย่างเคสที่ไซซ์ใหญ่ น้ำหนักตัวเยอะ ดูดไขมันหลายตำแหน่ง หรือเคสที่ดูดไขมันทั้งตัวเป็นต้น

ดูดไขมันราคาเท่าไหร่?

ดูดไขมันราคาเท่าไหร่? ดูดไขมันราคาถูกต่างกับดูดไขมันราคาแพงไหม? ต้องบอกว่าราคาและค่าใช้จ่ายในการดูดไขมันของแต่ละเคสในแต่ละคลินิกไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับว่าสถานพยาบาลที่คุณเข้าไปใช้บริการมีการนับตำแหน่งดูดไขมันอย่างไร? อาทิ นับแบบทาบฝ่ามือ นับด้วยจุดแผล หรือเหมาบริเวณ นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงน้ำหนักตัว สัดส่วน ปริมาณไขมันของคนไข้แต่ละคน สภาพผิว และเครื่องมือที่ใช้ด้วยครับ

สำหรับการดูดไขมันที่ Amara Clinic นับตำแหน่งการดูดไขมันแบบเหมาบริเวณใหญ่ เช่น หน้าท้องบน+ล่าง, เอวเอส + ปีกหลัง, ต้นขาใน+ต้นขาหน้าทั้งสองข้าง, ต้นขานอก+ต้นขาหลังทั้งสองข้าง หรือต้นแขนสองข้าง เป็นต้น ราคาเริ่มต้นตำแหน่งละ 25,000 บาท สำหรับการดูดไขมันด้วยเครื่อง Vaser Smooth 2.2 หรือ Ultra Z และเริ่มต้นตำแหน่งละ 39,900 บาท สำหรับการดูดไขมันพลังน้ำ Body-jet ที่สามารถนำไขมันไปเติมส่วนอื่น ๆ ต่อได้ ประมาณนี้ครับ

หากสนใจการดูดไขมันส่วนเกินเฉพาะจุดที่ Amara Clinic แนะนำให้สอบถามโปรโมชั่นปัจจุบันกับแอดมินผ่านทาง LINE : @amaraclinic ได้เลย หรือจะทำนัดเข้ามาปรึกษาหมอก่อนก็ได้ครับ ไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่อให้คนไข้ทราบว่าตัวเองมีปัญหาตรงไหน ควรรักษาแบบไหน และต้องใช้งบประมาณเท่าไหร่นั่นเอง