เครื่องดูดไขมันแต่ละแบบ แตกต่างกันอย่างไร

เครื่องดูดไขมัน

เครื่องดูดไขมันมีทั้งพลังความร้อน พลังงานน้ำ แถมมีหลายรุ่นหลายยี่ห้อเต็มไปหมด แล้วแบบไหนล่ะที่ดีที่สุด? หมอไอซ์ Amara Clinic จะมาอธิบายความแตกต่างของเครื่องดูดไขมันแต่ละพลังงาน แนะนำข้อดี บอกข้อเสียของแต่ละเครื่องให้อ่านกันนะครับ เพื่อช่วยประกอบการตัดสินใจครับ

“ทำความรู้จักวิธีดูดไขมัน เครื่องดูดไขมัน และความแตกต่างของพลังงาน”

ไขมันในร่างกายจะแบ่งออกเป็นสองส่วนด้วยกันนะครับ คือไขมันที่ใต้ชั้นผิวหนัง (Subcutaneous Fat) และไขมันที่อยู่ในช่องท้อง (Visceral Fat) ไขมันใต้ชั้นผิวหนังนั้น เป็นไขมันที่จะกำหนดรูปร่างของเราว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งไขมันในส่วนนี้ เป็นไขมันที่เราจะดูดออกมานั่นเอง ส่วนไขมันในช่องท้องเป็นไขมันที่อยู่รอบ ๆ อวัยวะภายใน ที่จะไม่สามารถดูดออกมาได้

ก่อนการดูดไขมัน หมอจะมีการวัดมวลไขมันในร่างกาย โดยจะวัดปริมาณรวมของไขมันทั้งหมด แต่ไขมันที่จะถูกดูดออกมาคือไขมันใต้ชั้นผิวหนังเท่านั้น เซลล์ไขมันจะมีลักษณะเป็นก้อนเม็ดกลม ๆ ขนาดเล็กประมาณ 0.1 มิลลิเมตร ยึดติดกันเหมือนพวงองุ่น โดยจะมีเส้นใยพังผืดทำหน้าที่ยึดเซลล์ไขมันไว้ด้วยกันครับ

นวัตกรรมการดูดไขมันถูกพัฒนามาเรื่อย ๆ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีการผสมผสาน นำพลังงานและเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาช่วยในการดูดไขมัน เครื่องดูดไขมันแต่ละแบบมีข้อดี-ข้อเสียแตกต่างกันไป เครื่องดูดไขมันบางเครื่องเหมาะสำหรับการดูดไขมันในจุดที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น…

  • ดูดไขมันต้นขา
  • ดูดไขมันต้นแขน
  • ดูดไขมันเอวเอส
  • ดูดไขมันหน้าท้อง
  • หรือดูดไขมันได้ในเฉพาะบริเวณที่มีไขมันน้อย มีพื้นที่น้อย

ดูดไขมันต้นขา

ดูดไขมันต้นแขน

เสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง

ดูดไขมันเอวเอส

กินแตงโม อ้วนไหม

ดูดไขมันหน้าท้อง

ดูดไขมันตำแหน่งเล็ก เช่น เหนียง นมน้อย

คำถามต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ดูดไขมันเจ็บไหม ดูดไขมันอันตรายไหม ดูดไขมันพักฟื้นกี่วัน ฯลฯ ล้วนประกอบด้วยหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็นสถานที่ ตัวแพทย์ เทคนิคแพทย์ เครื่องดูดไขมัน วิธีที่ใช้ในการดูดไขมันครับ

ซึ่งวิธีการดูดไขมันในปัจจุบันมีทั้ง 5 เทคนิคด้วยกันที่ทุกคนควรรู้จัก คือ 

  1. การดูดไขมันแบบดั้งเดิม (Conventional Liposuction)
  2. การดูดไขมันด้วยการใช้ท่อธรรมดา (SAL : Suction-Assisted Liposuction)
  3. การดูดไขมันด้วยพลังงานกล (PAL : Power-Assisted Liposuction)
  4. การดูดไขมันด้วยพลังงานคลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์ (Ultrasonic Liposuction)
  5. การดูดไขมันด้วยพลังงานน้ำ (Water Jet Assisted Liposuction)

ถ้าอยากรู้ว่าแต่ละวิธีแตกต่างกันอย่างไร แล้วใช้เครื่องดูดไขมันประเภทไหน มีข้อดีและข้อเสียอะไรบ้าง เราไปติดตามพร้อม ๆ กันเลยครับ

การดูดไขมันแบบดั้งเดิม (Conventional Liposuction)

การดูดไขมันแบบดั้งเดิม (Conventional Liposuction หรือ Manual Liposuction) เป็นการดูดไขมันที่อาศัยแรงมือของแพทย์เพียงอย่างเดียว โดยแพทย์จะสอดเข็มเข้าไปที่ชั้นไขมันใต้ผิวหนังแล้วใช้แรงมือกระทุ้งให้ไขมันแตกตัวออกจากกัน จากนั้นจึงใช้ไซริ้งค์ (Syringe) ดูดไขมันออกมา

ด้วยวิธีการดูดไขมันที่ใช้แรงกระแทกนี้ จะทำให้เนื้อเยื่อโดยรอบ เส้นเลือดและเส้นประสาทข้างเคียงได้รับความเสียหาย ทำให้ระหว่างที่ทำการดูดไขมันคนไข้จะรู้สึกเจ็บปวดมาก หลังทำมีอาการบวมมาก มีรอยฟกช้ำมากนั่นเอง

ข้อดีของการดูดไขมันแบบดั้งเดิม

  • ดูดไขมันได้ดี ในบริเวณจุดเล็ก ๆ เช่นเหนียง

ข้อเสียของการดูดไขมันแบบดั้งเดิม

  • ดูดไขมันได้น้อย และใช้ระยะเวลานาน
  • ไม่สามารถดูดไขมันในตำแหน่งที่มีพังผืดติดมาก ๆ ได้
ขั้นตอนในการดูดไขมัน

การดูดไขมันด้วยการใช้ท่อธรรมดา (SAL : Suction-Assisted Liposuction)

เริ่มมาจากแนวคิดที่ว่า ดูดไขมันอย่างไรให้ได้ปริมาณเยอะขึ้น ใช้ระยะเวลาน้อยลง ในระหว่างทำคนไข้ไม่รู้สึกเจ็บ และไม่ทำลายเนื้อเยื่อ เส้นเลือด เส้นประสาทข้างเคียง หลังทำไม่มีการบอบช้ำมาก จึงเริ่มมีการคิดค้นการฉีดน้ำยาที่ประกอบไปด้วยยาชาและยาที่ทำให้เส้นเลือดหดตัวเข้าไปก่อนการดูดไขมัน (เพื่อลดความเจ็บปวดและอาการบอบช้ำหลังดูดไขมันให้กับคนไข้) ไปพร้อม ๆ ไปกับการนำท่อที่มีแรงดูดสุญญากาศมาใช้ในการดูดไขมันครับ

การดูดไขมันแบบ SAL นี้ แพทย์จะฉีดน้ำยาเข้าไปใต้ชั้นผิวหนัง จากนั้นจะสอดท่อที่มีแรงดูดสุญญากาศเข้าไป พร้อมใช้แรงมือกระแทกให้เซลล์ไขมันแตกตัวแยกออกจากกัน ในระหว่างที่แพทย์ใช้แรงกระแทกนั้น เซลล์ไขมันที่แตกตัวออกมาแล้ว ก็จะถูกเครื่องดูด ดูดออกมาโดยอัตโนมัติ

Suction-Assisted Liposuction

เมื่อการดูดไขมันออกมาจากร่างกาย ทำให้เกิดช่องว่างภายใต้ผิว และเป็นผลให้เกิดความย้วยของผิวหนัง ทำให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีในการดูดไขมันในแบบที่สามารถกระชับผิวหนังได้ไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งวิธีนี้ยังคงเป็นการดูดไขมันด้วยการใช้ท่อธรรมดา หรือ SAL อยู่ แต่มีการนำพลังงานคลื่นความถี่วิทยุ (RF : Radio frequency) เข้ามาช่วยในการยกกระชับผิวนั้นเอง

การดูดไขมันด้วยพลังงานคลื่นความถี่วิทยุ

ดูดไขมันด้วยคลื่น RF

การดูดไขมันด้วยพลังงานคลื่นความถี่วิทยุนี้ ใช้หลักการเดียวกันกับ SAL คือแพทย์จะฉีดน้ำยาเข้าไป พร้อมนำท่อสุญญากาศเข้าไปกระทุ้งทำให้ไขมันแตกตัว และดูดออกมาอัตโนมัติ หลังการดูดไขมันจะมีการใช้พลังงานคลื่นความถี่วิทยุในระดับอุณหภูมิความร้อนที่ช่วยให้ผิวหนังเริ่มกระชับหดตัวในระยะเวลา 3 – 6 เดือน ดังนั้น จึงสามารถเรียกได้ว่าเป็นเครื่องดูดไขมันกระชับผิวนั่นเอง ซึ่งเครื่องดูดไขมันที่ใช้หลักการสลายไขมันแบบนี้คือ เครื่องดูดไขมัน BODYtite Pro

การดูดไขมันด้วยเลเซอร์

การดูดไขมันด้วยเลเซอร์ (Laser Diode Liposuction, Laser-Assisted Liposuction) เป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยให้ผิวหลังดูดไขมันกระชับตัวขึ้นได้ การดูดไขมันด้วยเลเซอร์ เป็นการนำเลเซอร์มาช่วยในการผลิตพลังงานความร้อน ซึ่งเลเซอร์จะสามารถผลิตพลังงานความร้อนได้ที่ระดับอุณหภูมิ 40 – 60 องศาเซลเซียส ด้วยความที่มีอุณภูมิที่ไม่สูงมาก จึงมีข้อเสียคือใช้ระยะเวลาในการรักษานาน เห็นผลช้า ดูดออกมาได้น้อย แต่มีความปลอดภัยสูง

ดูดไขมันด้วยเครื่องดูดไขมันชนิดเลเซอร์

และนวัตกรรมในการดูดไขมันพร้อมยกกระชับผิวอีกวิธีหนึ่ง นอกจากการใช้พลังงานคลื่นความถี่วิทยุและเลเซอร์นั้น คือการใช้พลังงานพลาสมา (Plasma-Assisted Liposuction) หรือ J Plasma ในการสร้างพลังงานความร้อนสูงถึง 85 องศาเซลเซียส หรืออุณหภูมิที่สามารถทำให้เนื้อเยื่อภายใต้ผิวกระชับหดตัวลงได้ในทันที

หลังจากใช้พลังงานพลาสมาส่งตรงเข้าไปยังเส้นใยเนื้อเยื่อ ผิวจะกระชับหดตัวลงทันที โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อและเส้นประสาทบริเวณข้างเคียง และเห็นผลชัดภายในระยะเวลาประมาณ 3 เดือน

ข้อดีของการดูดไขมันแบบ SAL

  • สามารถทำลายเซลล์ไขมัน ได้อย่างเฉพาะเจาะจง
  • ผิวหลังทำจะเรียบ ไม่เป็นโพรง ไม่เป็นคลื่น ไม่เป็นผิวเปลือกส้ม
  • ดูดไขมันได้ปริมาณที่มากกว่าการดูดไขมันแบบดั้งเดิม

ข้อเสียของการดูดไขมันแบบ SAL

  • สลายไขมันได้น้อย ทำให้ปริมาณไขมันที่ดูดออกมาได้น้อย
  • คนไข้อาจมีอาการเสียเลือดมาก
  • ไม่เหมาะกับการดูดไขมันในตำแหน่งที่มีปริมาณไขมันมาก
  • เนื้อเยื่อ เส้นเลือด เส้นประสาทข้างเคียงได้รับผลกระทบมาก
  • อาจอยู่ในสภาวะเสียเลือดมาก
  • มีรอยฟกช้ำตามตัว บอบช้ำมาก บวมมาก
  • ใช้เวลาพักฟื้นนาน
  • เกิดปัญหาผิวเป็นคลื่น ลอน ไม่เรียบเนียน

การดูดไขมันด้วยพลังงานกล (PAL : POWER-ASSISTED LIPOSUCTION)

การดูดไขมันด้วยพลังงานกล (เครื่องดูดไขมัน Microaire) เป็นการเพิ่มความถี่ของการขยับเข็มดูดไขมัน จนเกิดเป็นแรงสั่นสะเทือนทำให้ไขมันแตกตัว การดูดไขมันด้วยวิธีนี้จะทำให้ดูดไขมันออกมาได้ในปริมาณมาก และลดการเสียดสีของผิวหนัง และเนื้อเยื่อข้างเคียงครับ นอกจากนี้การสายไขมันด้วยวิธีนี้ยังช่วยสร้างมิติให้กับรูปร่างได้อย่างสวยงามยิ่งขึ้นด้วยครับ อย่างที่ Amara Clinic ของเราหมอจะนำมาใช้ในการสร้างร่องหน้าท้อง ทำ Sexy line และเหลาเอวเอส เป็นต้นครับ

ข้อดีของการดูดไขมันด้วยพลังงานกล

  • ดูดไขมันได้เยอะ ในระยะเวลาสั้น ๆ
  • ไม่เกิดความร้อนในระหว่างดูดไขมัน ผิวไม่ Burn
  • ใช้ทำร่อง 11 หรือ Sexy line ออกมาได้อย่างคมชัด  
  • เก็บไขมันได้ละเอียดแม้ในตำแหน่งที่เข้าถึงยาก เช่น แผ่นหลัง, หนอก, หน้าท้องด้านบน หรือน่อง
  • สามารถใช้ร่วมกับเครื่องดูดไขมันชนิดอื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

ข้อเสียของการดูดไขมันด้วยพลังงานกล

  • ในขณะที่เครื่องทำงาน จะมีเสียงดังมาก
  • ไม่สามารถดูดไขมันในบริเวณที่มีผังพืดได้
  • มีโอกาสเสียเลือดมาก
  • ไม่เหมาะกับบริเวณที่มีไขมันปริมาณมาก
  • หลังดูดไขมันคนไข้จะมีอาการบวมมาก บอบช้ำมาก มีรอยฟกช้ำตามตัว
  • เกิดปัญหาผิวเป็นคลื่น ไม่เรียบ
  • ใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นนาน

การดูดไขมันด้วยพลังงานคลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์ (Ultrasonic Liposuction)

การใช้พลังงานความร้อน จากพลังงานคลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์ (Ultrasound) มาช่วยในการดูดไขมัน เครื่องมือชนิดนี้จะปล่อยพลังงานคลื่นเสียงในระดับความถี่ที่มีปฏิกิริยากับเซลล์ไขมัน และมีความร้อนพอที่จะทำให้เซลล์ไขมันแตกตัวเหลว และกลายเป็นน้ำได้ ก่อนที่แพทย์จะทำการดูดออกมา

แพทย์ที่ทำการรักษาจะต้องมีความเชี่ยวชาญสูง เพราะถ้าหากแพทย์ที่ทำการรักษาไม่เชี่ยวชาญมากพอ อาจจะทำให้ท่อพลังงานสัมผัสกับผิวหนังคนไข้จนทำให้เกิดการเผาไหม้ทันที คนไข้อาจมีแผลพุพองได้ครับ เครื่องพลังงานนี้ที่เรารู้จักกันคือ เครื่อง Vaser Smooth 2.2 และเครื่อง Ultra Z นั่นเอง

การทำงานของเครื่องดูดไขมัน Vaser Liposuction

ข้อดีของการดูดไขมันด้วยพลังงานคลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์

  • สามารถดูดไขมันได้เกือบทุกส่วนในร่างกาย
  • สามารถดูดไขมันปริมาณมาก ได้ในระยะเวลาสั้น ๆ
  • อาการเจ็บปวดจากการดูดไขมัน และรอยฟกช้ำหลังดูดไขมันน้อยกว่าการดูดไขมันแบบดั้งเดิม
  • ใช้ระยะเวลาในการดูดไขมัน ไม่นาน

ข้อเสียของการดูดไขมันด้วยพลังงานคลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์

  • หากท่อที่ปล่อยพลังงานสัมผัสกับผิว จะทำให้เกิดการเผาไหม้ที่ผิวได้
  • เนื้อเยื่อ เส้นเลือด และเส้นประสาทอาจได้รับผลกระทบได้
  • มีอาการบอบช้ำ บวม และใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นนาน
  • มีความเจ็บปวดในระหว่างการรักษา
  • ไขมันที่ดูดออกมาไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้ เพราะเซลล์ไขมันได้สลาย ตายไปแล้ว
  • ผิวหนังหลังดูดไขมันอาจจะเป็นคลื่น หรือคล้ายผิวเปลือกส้มได้บ้าง

การดูดไขมันด้วยพลังงานน้ำ (Water Jet Assisted Liposuction)

เทคโนโลยีในการดูดไขมันที่ใหม่ที่สุด และอ่อนโยนที่สุด คือการดูดไขมันโดยใช้พลังงานน้ำ ซึ่งมีหลักการคือ “ดูดไขมันอย่างไร โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อข้างเคียง ” เครื่องดูดไขมันพลังน้ำ หรือ Body-jet (ชื่อทางการค้า) เป็นนวัตกรรมใหม่จากประเทศเยอรมันนี

เครื่องดูดไขมันพลังน้ำนี้ จะใช้แรงดันน้ำในการอัดน้ำที่ประกอบด้วยยาชาและยาที่ทำให้เส้นเลือดหดตัวเข้าไปที่ชั้นไขมัน เพื่อให้เซลล์ไขมันที่เกาะติดกันเป็นพวงองุ่นแตกตัวกันออกมาอย่างอ่อนโยน ไขมันที่ถูกดูดออกมาจะอยู่ในสภาพดี มีชีวิตอยู่ สามารถนำไปเติมเต็มส่วนต่าง ๆ ในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บริเวณที่เติมไขมันได้

  • เติมไขมันหลังมือ ลดริ้วรอยเหี่ยวย่น
  • ฉีดไขมันสะโพก เติมก้นเด้ง
  • เติมไขมันน้องสาว เพิ่มโหนกนูน อวบอูม
เครื่องดูดไขมันพลังงานน้ำ Body-jet

ข้อดีของการดูดไขมันด้วยพลังงานน้ำ

  • ไขมันที่ถูกดูดออกมาสามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้ เช่นการเติมเต็มจุดบกพร่องบนใบหน้าและร่างกาย สามารถนำมาปั่นเป็น Stemcell เพื่อเติมเต็มให้ผิวสว่างใสขึ้นได้
  • คนไข้รู้สึกเจ็บปวดน้อย ในระหว่างที่ทำการดูดไขมัน
  • หลังดูดไขมันคนไข้จะมีอาการบอบช้ำน้อย
  • ไม่ต้องพักฟื้น หลังจากดูดไขมันเสร็จแล้ว สามารถกลับบ้านและใช้ชีวิตประวันตามปกติได้เลย
  • แผลมีขนาดเล็ก ลดความเสี่ยงในการเกิดแผลเป็น และแผลคีลอยด์
  • ผิวเรียบเนียน ไม่เป็นคลื่น หลังดูดไขมัน
  • สามารถดูดไขมันได้ทุกสัดส่วนในร่างกาย

ข้อเสียของการดูดไขมันด้วยพลังงานน้ำ

  • ใช้ระยะเวลาในการดูดไขมันนานกว่าปกติ โดยเฉลี่ยแล้วจะใช้เวลาประมาณ 2 – 4 ชั่วโมงต่อเคส (ขึ้นอยู่กับสัดส่วนและปริมาณไขมันของคนไข้แต่ละบุคคล)
  • สัดส่วนของคนไข้จะยังไม่เข้ารูปทันทีที่ทำ ต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ – 1 เดือนจึงจะเริ่มเห็นผลชัดเจนยิ่งขึ้น

Amara Clinic มีเครื่องดูดไขมันรุ่นใหม่ ทันสมัย ครบครัน

Amara Clinic (เอมาร่าคลินิก) เราเป็นศูนย์ดูดไขมัน-เติมไขมัน ที่ทำด้านการดูดไขมันและเติมไขมันเฉพาะทาง เราจึงเลือกใช้เฉพาะเครื่องดูดไขมันที่เป็นเทคโนโลยีทันสมัย นำเข้าเครื่องรุ่นใหม่มาใช้เรื่อย ๆ และที่สำคัญ คือ มีเครื่องดูดไขมันครบครันทุกชนิด เพื่อเหลาสัดส่วนให้ออกมาสวยอย่างโดดเด่น ตอบโจทย์กับทุกปัญหาและความต้องการของคนไข้ครับ

  • Body-jet เครื่องดูดไขมันพลังงานน้ำรุ่นฮิตจากเยอรมัน ด้วยคุณสมบัติของพลังงานน้ำในรูปแบบใบพัด (Fan Shape) ที่ช่วยสลายชั้นเซลล์ไขมันที่ติดแน่นได้อย่างอ่อนโยน โดยไม่ใช้พลังงานความร้อนเลย จึงช่วยถนอมเซลล์ไขมันได้ดี ทำให้เซลล์ไขมันที่ได้มีคุณภาพ เหมาะกับการนำมาเติมไขมันต่อได้ หลังดูดไขมันจะมีความบวมช้ำน้อย พักฟื้นหายไว
  • Vaser Smooth 2.2 เครื่องดูดไขมันพลังงานความร้อนจากคลื่นอัลตร้าซาวด์ รุ่นใหม่จากอเมริกา สลายไขมันได้สูงกว่าเครื่องทั่ว ๆ ไป ทำให้ดูดไขมันได้เยอะ รวดเร็ว สลายไขมันในชั้นไขมันหนา ๆ ได้ดี เช่น ในเคสไซซ์ใหญ่ เคสดูดไขมันผู้ชาย หรือในเคสที่เคยดูดไขมันมาก่อนแล้ว มีพังผืดเกาะติดแน่น โดยเครื่องเวเซอร์จะเหมาะกับการดูดไขมันทิ้ง ไม่นำกลับมาเติมไขมัน เน้นการปรับรูปร่างโดยเฉพาะ
  • Ultra Z เครื่องดูดไขมันพลังงานความร้อนจากคลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์ จากประเทศเกาหลี ซึ่งมีจุดเด่นตรงที่ เป็นการใช้พลังงานที่มีความเสถียรสูง นุ่มนวล ความร้อนไม่มากเท่าเครื่องเวเซอร์ ดังนั้น จึงเหมาะกับการนำมาใช้ดูดไขมันในเคสที่ไม่ได้มีพังผืดเยอะ เคสตัวเล็ก ชั้นไขมันไม่หนา ซึ่งเป็นเคสที่ไม่ต้องใช้พลังงานสูงมากเหมือนเครื่องเวเซอร์ และเป็นเครื่องที่เหมาะกับการดูดไขมันทิ้ง ไม่นำกลับมาเติมไขมันต่อ และเน้นเรื่องปรับรูปร่างโดยเฉพาะ
  • MicroAire PAL เครื่องดูดไขมันพลังงานกล อาศัยแรงสั่นสะเทือนของเข็ม 4,000 รอบ ต่อนาที ร่วมกับการใช้ท่อที่เป็นแรงดูดแบบสุญญากาศ ทำให้ไขมันแตกตัวได้ดี และสามารถเก็บไขมันได้ละเอียดมากขึ้น ซึ่งเหมาะกับการดูดไขมันไขมันในตำแหน่งที่ดูดได้ยาก ๆ เช่น แผ่นหลัง, หนอก, หน้าท้องบน หรือน่องขา นิยมใช้ร่วมกับเครื่องดูดไขมันชนิดอื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งาน นอกจากนี้ ด้วยการสั่นของเครื่องมือเอง จึงทำให้สามารถเหลาตกแต่ง ดูดไขมัน หรือทำร่องกล้ามเนื้อ Sexy Line, ขาตะเกียบ หรือปั้นเอวเอสให้ออกมาเป็นรูปทรงสวยตามใจนึก
  • BODYtite Pro เครื่องดูดไขมันพลังคลื่นความถี่วิทยุ RFAL ที่สามารถสลายไขมันพร้อมยกกระชับผิว ด้วยการกระจายความร้อนแบบ Bulk Heating (ความร้อนที่แผ่กระจายคล้ายกับพระอาทิตย์) ซึ่งอุณหภูมิความร้อนปรับได้สูงถึง 60 องศา ส่งผลให้ไขมันเกิดการสลายตัว และเส้นใยที่ยึดเกาะติดผิว Fibroseptal Network เกิดการหดตัว ผิวจึงมีความกระชับและสัดส่วนเล็กลงไปพร้อม ๆ กัน แต่ทั้งนี้ก็จะมีขอจำกัดตรงที่ไม่เหมาะกับเคสพลัสไซซ์หรือคนที่มีผิวย้วยหนักมาก ๆ  

นอกจากนี้ความพิเศษของเครื่อง BODYtite Pro ยังสามารถอัพเกรดหัว Handpiece ให้มีขนาดเล็กลง เพื่อที่จะช่วยในการกำจัดสัดส่วนในพื้นที่ที่มีขนาดเล็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะมีหัวอยู่ 2 แบบด้วยกันคือ FACEtite, ACCUtite

  • FACEtite เป็นหัวสำหรับใช้ในการยกกระชับเหนียงและคอโดยเฉพาะ อีกทั้งยังช่วยในเรื่องของการกระตุ้นคอลลาเจนให้ผิว เห็นผลชัดเจนภายใน 7 วัน ไม่ต้องพักฟื้นนาน รอยแผลเป็นเล็ก 
  • ACCUtite เป็นหัวที่มีขนาดเล็กที่สุดของตระกูล BODYtite (เข็มเล็กเทียบเท่านิ้วก้อย) ช่วยในเรื่องของการกระชับสัดส่วนทั้งใบหน้าและลำตัว อาทิเช่น ใต้ตา ยกคิ้ว ร่องแก้ม เหนียง นมน้อย และหัวเข่า เป็นต้น หลังทำเห็นผลลัพธ์ทันที ไม่ต้องพักฟื้น ไม่ทิ้งรอยแผลเป็น

บทความที่เกี่ยวข้อง

สรุปแล้ว
ดูดไขมันด้วยเครื่องดูดไขมันแบบไหนดี ?

         จะดูดไขมันด้วยเครื่องดูดไขมันแบบไหน ลองสอบถามจุดประสงค์ของตัวเองดูนะครับ ว่าชอบเครื่องไหน หรือจะเข้ามาปรึกษากับหมอโดยตรงก็ได้ครับ (ฟรี) เพื่อให้หมอประเมินว่าเหมาะกับเครื่องดูดไขมันแบบไหน เพราะในแต่ละเคสจะมีสภาพร่างกาย, สรีระ, ปริมาณไขมัน และจุดที่เป็นกังวลแตกต่างกันครับ สอบถามรายละเอียดและโปรโมชั่นได้ที่ช่องทางนี้เลยครับ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง

ปรึกษาแพทย์ ฟรี!

ลงทะเบียน คลิกที่นี่
สาขารัชโยธิน 062-946-2397
สาขาราชพฤกษ์ 062-556-6623
สอบถามโปรโมชั่น LINE: @amaraclinic
หรือคลิกลิงค์นี้ได้เลย https://line.me/R/ti/p/@amaraclinic

KOL Trainer
แพทย์ผู้สอนดูดไขมัน Water-jet

นพ. วิษณุ เฮ้งสวัสดิ์ (หมอไอซ์)

ลงทะเบียนปรึกษาฟรี!


              บทความนี้ จัดทำขึ้นโดย Amara Clinic (เอมาร่า คลินิก) ขอสงวนสิทธิ์ในการห้ามมิให้ผู้ใดใช้ประโยชน์ คัดลอก ทำซ้ำ หรือเผยแพร่บทความนี้ในนามอื่น (ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหา, ข้อมูลทั้งหมด หรือบางส่วนก็ตาม) โดยไม่ได้รับอนุญาต หากพบเจอจะถูกดำเนินการตามกฎหมาย