ประวัติศาสตร์การเติมไขมัน

เติมไขมัน

เวลาผ่านไปผิวหนังก็เริ่มร่วงโรยเป็นปกติ แต่ทำไมพูดแล้วถึงสะกิดแทงใจดำขึ้นมาซะอย่างนั้น ใช่ไหมคะ? หมอมะปราง Amara Clinic ขอบอกว่าทุกปัญหามีทางออกค่ะ หมอคิดว่าทุกคนต้องเคยได้ยินกันมาบ้างแล้วแน่ ๆ กับการเติมไขมัน เพื่อให้ริ้วรอยใต้ตา และริ้วรอยร่องแก้มดูตื้นขึ้น แต่ว่า … การเติมไขมัน จริง ๆ แล้วไม่ได้มีดีแค่ช่วยเรื่องริ้วรอย แต่การเติมไขมันยังช่วยปรับรูปร่างให้เรามั่นใจขึ้นได้อีกด้วยนะคะ

โดยเราสามารถดูดไขมันจากส่วนที่เราไม่ต้องการ มาเติมยังบริเวณอื่นที่ต้องการเพิ่มเติมเสริมแต่งได้ เช่น การเติมไขมันหน้าอก, เติมไขมันหน้าเด็ก, เติมไขมันมือ, เติมไขมันก้น หรือแม้แต่เติมไขมันน้องสาว

สำหรับสาว ๆ ที่ต้องการปรับขนาดหรือหน้าอกไม่เท่ากัน หรือจะเติมไขมันสะโพกก็ทำได้ด้วยเหมือนกัน … แล้วใครนะใครกันที่เขาเป็นต้นคิดกระบวนการเติมไขมันนี้ขึ้นมา ? ไม่รอช้า … ไปทำความรู้จักกับเขากันเลย (แอบ ๆ กระซิบก่อนนะว่าต้องถอยย้อนกลับไปเกือบ ๆ 200 ปีที่แล้วเลยล่ะค่ะ!)

จุดเริ่มต้นของกระบวนการเติมไขมันเกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงปี 1893 หรือปลายศตวรรษที่ 19  โดย Gustav Neuber ศัลยแพทย์ชาวเยอรมัน Neuber ได้ริเริ่มการปลูกถ่ายย้ายเซลล์ไขมันจากบริเวณต้นแขน เพื่อนำไปแก้ปัญหารอยแผลเป็นบริเวณใบหน้า ที่เป็นผลพวงอันเนื่องมาจากจากโรคกระดูกอักเสบ

ถัดจากนั้นมาเพียงแค่ 2 ปี Dr. Viktor Czerny ได้ลองย้ายเซลล์ไขมันอีกครั้ง โดยการเติมไขมันหน้าอก ให้กับผู้หญิงที่ผ่านการผ่าตัดเต้านมมา เพื่อช่วยสร้างความมั่นใจและความสมดุลให้กับหน้าอกของเธอค่ะ

ในปี 1914 การเติมไขมันไม่เพียงถูกนำมาใช้สำหรับการปรับแต่งทรงหน้าอกเท่านั้น แต่ยังถูกนำมาใช้ในการเติมบริเวณกะโหลก ใบหน้า และข้อต่อ เพื่อรักษาและปรับปรุงอาการหลังเข้ารับการผ่าตัดจากโรคข้อต่อเสื่อมอีกด้วย

Dr. Gustav Neuber

การย้ายเซลล์ไขมันเพื่อเติมเต็มตามส่วนต่าง ๆ ยังมีรายงานออกมาเรื่อย ๆ แม้กระทั่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 การเติมไขมันได้ถูกนำมาใช้เพื่อรักษาแทนอวัยวะเทียม สำหรับทหารที่ได้รับบาดเจ็บ ไม่ว่าจะเป็นบริเวณดวงตาหรือรอยแผลเป็นต่าง ๆ ตามร่างกายที่เกิดจากรอยกระสุน

ในส่วนของสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารบางนายต้องทำการพรางตัว เพื่อสอดแนมหาข้อมูลของฝ่ายตรงข้าม เขาได้ฉีดเนื้อเยื่อไขมันเข้าที่บริเวณใบหน้า (เติมไขมันหน้า) เพื่อปรับเปลี่ยนโครงหน้า โดยไขมันที่ถูกนำมาใช้ส่วนหนึ่งเป็นไขมันที่ดูดออกมาจากตัวเขาเอง เพื่อคงผลลัพธ์ไว้อย่างถาวร ส่วนไขมันที่ได้มาจากการสกัดอื่น ๆ จะคงผลลัพธ์ไว้ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ในเวลานั้นการเติมไขมันค่อนข้างเป็นที่ถกเถียงกันอย่างแพร่หลาย ในเรื่องของภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการทำหัตถการ รวมถึงเทคนิคการดูดไขมันในยุคสมัยนั้นยังไม่ได้รับการพัฒนา และปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพเหมือนในปัจจุบัน จึงไม่สามารถรักษาคุณภาพไขมันที่ดูดออกมาได้ และแน่นอนว่าเมื่อไขมันที่ดูดออกมามีคุณภาพไม่ดี ก็ย่อมไม่เหมาะสมที่จะเติมกลับเข้าไปสู่ร่างกาย

ต่อมาในปี 1990 Dr. Sydney Coleman ศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งมหานครนิวยอร์ก ได้เริ่มเผยแพร่เอกสาร ที่อธิบายเกี่ยวกับเทคนิคสำหรับกระบวนการแยกไขมัน และการฉีดไขมันที่ได้มาตรฐาน นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ความนิยมของการดูดไขมันและเติมไขมันก็ได้เพิ่มมากขึ้น รวมถึงคลินิกต่าง ๆ ก็ได้นำวิธีการนี้ไปปรับใช้เพื่อความหลากหลายด้วยเช่นกัน

การเติมไขมันช่วยได้แค่ปรับรูปร่างตามจุดต่าง ๆ เหรอ?

การปลูกถ่ายและเติมไขมัน เป็นประเด็นที่สร้างความดึงดูดใจให้กับวงการศัลยกรรมการแพทย์เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะไม่เพียงแต่ความสามารถในการช่วยปรับแต่งรูปร่างเท่านั้น การเติมไขมันยังสามารถช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูร่างกายในจุดต่าง ๆ ได้อีกด้วย โดยความสามารถในการช่วยฟื้นบำรุงนี้ เกิดขึ้นได้จากการที่เซลล์ต้นกำเนิด (MSCs) ที่อาศัยอยู่ในเยื่อไขมันมีความเข้มข้นสูงนั่นเอง

ในปี 2011 กลุ่มศัลยแพทย์ตกแต่งและนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Pittsburgh ได้ตีพิมพ์บทความใน Tissue Engineering ซึ่งอธิบายถึงความเกี่ยวข้องของเนื้อเยื่อไขมัน ในกระบวนการช่วยสร้างเซลล์ใหม่ ซึ่งการเปิดเผยข้อมูลในครั้งนี้ ได้สร้างความขัดแย้งให้กับวงการวิทยาศาสตร์พอสมควร บางส่วนกล่าวว่าการดึงส่วนของไขกระดูกมาใช้จะมีประสิทธิภาพในการช่วยซ่อมแซมเซลล์ได้มากกว่า แต่เมื่อเวลาผ่านไปผลลัพธ์กลับออกมาว่าการใช้เซลล์ต้นกำเนิด (MSCs) ซึ่งอาศัยอยู่ในเยื่อไขมันมีประสิทธิภาพที่สูงกว่าการปลูกถ่ายไขกระดูก

ตามปริมาณแล้ว เซลล์ต้นกำเนิดจากเยื่อหุ้มเซลล์ (MSC) มีเนื้อเยื่อไขมันมากกว่า 300-500 เท่าเมื่อเทียบกับเนื้อเยื่อไขกระดูก แถมยังสามารถสกัดเนื้อเยื่อไขมันได้ง่ายหากเทียบกับไขกระดูก ซึ่งถือว่าเป็นการเปิดโลกครั้งยิ่งใหญ่สำหรับเวชศาสตร์ฟื้นฟูเช่นกัน

นับตั้งแต่ปี 2001 เป็นต้นมา เราได้เริ่มเรียนรู้ว่าเนื้อเยื่อไขมันสามารถเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่มีประสิทธิภาพในการช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูร่างกายได้ โดยทางคลินิกเวชกรรมความงามได้หันมาใช้การเติมไขมันเพื่อฟื้นฟูผิว ช่วยฟื้นฟูความเสียหายของเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายจากรังสี และรักษาความผิดปกติของผิวหนังเพิ่มมากขึ้น

อ่านบทความเพิ่มเติม

ปรึกษาฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

ขั้นตอนการเติมไขมันทำยังไงบ้าง?

หลักๆแล้วจะประกอบไปด้วย 3 ขั้นตอนใหญ่ได้แก่

  1. ดูดไขมันจากบริเวณที่เราไม่ต้องการออกมา
  2. แยกชั้นไขมัน / คัดกรองเซลล์ไขมัน
  3. เติมไขมันกลับเข้าไปยังบริเวณใหม่ที่ต้องการเติมเต็ม
ขั้นตอนการเติมไขมัน

บริเวณที่สามารดูดไขมันได้

  • ดูดไขมันหน้าท้อง – เอวเอส
  • ดูดไขมันเหนียง – กรอบหน้า
  • ดูดไขมันต้นแขน – ปีกหลัง
  • ดูดไขมันน่อง – หัวเข่า
  • ดูดไขมันต้นขา – สะโพก

ในขั้นตอนแรก ไขมันจะถูกดึงออกจากบริเวณที่เราไม่ต้องการ โดยใช้เทคนิคการดูดไขมัน วิธีนี้จะได้ผลดีที่สุดหากใช้วิธีการดูดแบบแมนนวลผ่านเข็มดูดไขมันแบบบางที่มีรูเล็ก ๆ หรือดูดไขมันพลังน้ำ ส่วนการดูดไขมันด้วยพลังความร้อนนั้น ไม่ควรใช้ในการดูดไขมันเพื่อนำไปเติมใหม่เพราะอาจทำลายเซลล์ไขมันได้

หลังจากนั้นไขมันจะถูกแปรรูปและแยกชั้น ผ่านการหมุนเหวี่ยงเพื่อแยกเซลล์ที่ตายแล้วและเศษของเหลวส่วนเกินที่ติดออกมา ให้แยกออกจากเซลล์ไขมัน อีกวิธีหนึ่งในการแยกชั้นไขมัน คือการล้างไขมันด้วยน้ำเกลือปราศจากเชื้อ ไขมันที่ถูกทิ้งไปจะเป็นเซลล์ไขมันที่มีแนวโน้มว่าไม่สามารถนำมาใช้เพื่อเติมได้ และอาจก่อให้เกิดปัญหากับเซลล์ไขมันดีได้ค่ะ

ไขมันจะถูกฉีดกลับเข้าไปยังบริเวณที่ต้องการเติมเต็มอย่างช้าๆ สาเหตุที่ไม่สามารถฉีดกลับเข้าไปอย่างรวดเร็วได้ ก็เพราะต้องรักษาระดับความดันเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติและเพื่อให้มั่นใจว่าเซลล์ไขมันสามารถคงสภาพในบริเวณนั้น ๆ ได้
 
ปริมาณไขมันที่ฉีดเข้าไปจะวัดเป็นหน่วยซีซี และจะแตกต่างกันไปในแต่ละเคส โดยขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของคนไข้ ปริมาณไขมันที่มี และความต้องการว่าอยากเติมไขมันเพิ่มในบริเวณไหน

หนักใจกับริ้วรอยใต้ตา ควรฉีดไขมันหรือฟิลเลอร์ดีนะ?

ทั้งสองวิธีล้วนสามารถแก้ไขปัญหาริ้วรอยใต้ตาได้ แต่ข้อดีข้อเสียก็ย่อมมีแตกต่างกันไป การฉีดไขมันเพื่อแก้ไขปัญหาริ้วรอยใต้ตานั้น หากเปรียบเทียบกับการฉีดฟิลเลอร์ การฉีดไขมันย่อมอยู่ได้นานมากกว่า แม้ว่าจะมีไขมันบางส่วนสลายไปบ้างหลังการฉีด แต่หลังจากผ่านไปสักระยะหนึ่งไขมันที่เติมจะเกิดความคงตัวและอยู่ได้อย่างถาวร

เทียบกับการฉีดฟิลเลอร์ ที่แก้ไข้ปัญหาริ้วรอยใต้ตาได้เพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น ก่อนจะสลายไปในที่สุด นอกจากนี้การใช้ไขมันตัวเองก็ไม่ต้องเสี่ยงกับการเผชิญหน้ากับอาการแพ้ เพราะไขมันที่เติมเข้าไปล้วนมาจากร่างกายของเราทั้งหมด จึงไม่ทำให้เกิดอาการระคายเคืองเหมือนการฉีดเติมสารอื่น ๆ

อ่านบทความเพิ่มเติม

ปริมาณไขมันที่จะเติมในแต่ละจุด ต้องใช้กี่ซีซี?

เติมไขมันหน้า

การฉีดไขมันหน้า หรือเติมไขมันหน้าเด็ก จะใช้อยู่ที่ช่วงประมาณ 10 – 100 cc ขึ้นกับตำแหน่งที่ทำการเติมเข้าไป

ตัวอย่าง เคสเติมไขมันหน้าเด็ก ที่ Amara Clinic

ข้อดีของการเติมไขมันหน้าเด็ก

  • การเติมไขมันบริเวณใบหน้า จะช่วยคงความอ่อนเยาว์ให้ดูสดใสเหมือนสาว ๆ แรกแย้มตลอดเวลา สามารถช่วยเติมเต็มริ้วรอยใต้ตา หน้าผาก แก้มส้ม ขมับตอบ และริ้วรอยร่องแก้มให้ดูตื้นขึ้นได้  และยังช่วยลดรอยแผลเป็นได้อีกด้วย
  • ช่วยให้ใบหน้าดูมีมิติมากขึ้น
  • ช่วยให้ผิวดูนุ่มและเต่งตึง
  • ช่วยปรับโหงวเฮ้ง

เติมไขมันหน้าอก

เติมไขมันหน้าอก หรือการเสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง จะใช้ไขมันอยู่ที่ประมาณ 25 – 400 cc สำหรับแต่ละข้าง (ปริมาณที่ใช้ขึ้นอยู่กับแต่ละเคส ทั้งความต้องการ (เติมเต็มเนิน, เพิ่มขนาด) และสภาพร่างกายของคนไข้ว่าสามารถเติมได้มากน้อยแค่ไหน

โดยที่ถ้าหากคนไข้ที่เป็นคุณแม่ (เคยมีลูกมาก่อน) หน้าอกจะเคยมีการขยายใหญ่ ทำให้ฐานหน้าอกสามารถขยายได้มากกว่าคนที่ยังไม่เคยมีลูก นั่นหมายถึง คนที่เป็นคุณแม่ จะสามารถเติมไขมันหน้าอกได้ในปริมาณที่มากกว่าคนที่ไม่เคยมีลูกนั่นเอง และอีกปัจจัยนึงนั่นก็คือ ปริมาณไขมันที่สามารถดูดออกมาได้

อ่านบทความเพิ่มเติม

ตัวอย่าง เคสเสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง ที่ Amara Clinic

ข้อดีของการเสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง

  • สามารถเพิ่มขนาดหน้าอกได้หนึ่งถึงสองไซส์
  • ช่วยปรับขนาดหน้าอกที่ไม่เท่ากันให้มีความสมดุล
  • การเสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ เมื่อเทียบกับการเสริมหน้าอกซิลิโคน
  • สามารถช่วยรักษาเนื้อเยื่อที่ถูกทำลาย จากการโดนรังสีได้ และช่วยซ่อมแซมการเกิดพังผืดที่หดรัดเต้านมจากการผ่าตัดเสริมซิลิโคนได้
  • ช่วยแก้ไขรอยแผลเป็นที่เกิดจากการผ่าตัดเต้านม หรือการผ่าตัดเสริมสร้างเต้านมได้

เติมไขมันสะโพก

ฉีดไขมันสะโพก จะใช้อยู่ที่ประมาณ 100 – 300 cc (สำหรับแต่ละข้าง)

ข้อดีของการเติมไขมันสะโพก

  • ช่วยให้สะโพกดูมีมิติและสมส่วนรับการรูปร่างมากขึ้น

เติมไขมันบั้นท้าย

เติมไขมันบั้นท้าย หรือเติมไขมันก้นเด้ง ใช้ปริมาณไขมันในช่วงประมาณ 200 – 1,300 cc สำหรับแต่ละข้าง (หรือมากกว่านี้ ขึ้นกับความต้องการและปัจจัยจากตัวคนไข้)

ข้อดีของการเติมไขมันก้นเด้ง

  • เพิ่มความมีมิติ สวมใส่อะไรก็ดูดีขึ้น สร้างความมั่นใจให้กับสาวๆ

ตัวอย่าง เคสเติมไขมันก้น ที่ Amara Clinic

เติมไขมันมือและเท้า

เติมไขมันมือและเท้า ใช้ปริมาณไขมันที่ประมาณ 5 – 10 cc

ข้อดีของการเติมไขมันมือและเท้า

  • ช่วยลดริ้วรอยบริเวณหลังมือ ทำให้กลับมาเนียนเด้งเหมือนผิวเด็ก
  • สามารถช่วยแก้ไขปัญหารองเท้าหลวม หาไซส์ยาก สำหรับคนที่มีปัญหาเท้าเล็กและผอม

ทั้งนี้การเติมไขมันในแต่ละเคส ปริมาณไขมันที่เติมได้จะมาก-น้อยแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของคนไข้แต่ละบุคคลด้วย เช่น ในกรณีที่คนไข้ต้องการเติมไขมันหน้าอกและไม่เคยผ่านการมีลูกมาก่อน ผิวหนังบริเวณทรวงอกจะยังไม่เคยขยาย ซึ่งส่งผลให้สามารถเติมไขมันหน้าอกได้น้อยกว่าผู้ที่เคยผ่านการมีลูกมาแล้ว เพราะหน้าอกเคยขยายมาก่อนจากการตั้งครรภ์ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 6 ค่ะ

อยากเติมไขมันสามารถทำได้ที่ไหนบ้าง

การเติมไขมันมักดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากกระบวนการนี้เป็นส่วนหนึ่งของการดูดไขมัน ผู้ที่ต้องการเติมไขมันควรได้รับการดูแลจากแพทย์ และคลินิกศัลยกรรมตกแต่งที่ได้รับการฝึกอบรมที่ได้มาตรฐาน เพื่อดูแลในทุกขั้นตอนของการดูดไขมัน-เติมไขมัน และเชี่ยวชาญในการจัดการภาวะแทรกซ้อนได้เป็นอย่างดี

เติมไขมันที่ไหนดี? ดูดไขมันที่ไหนดี? การเติมไขมันและดูดไขมันควรทำในคลินิกเติมไขมันที่มีแพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิด หรือโรงพยาบาลที่ได้รับการรับรอง โดยอุปกรณ์ต่างๆ  ที่จะนำมาใช้ในกระบวนการดูดและเติมไขมันมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากต้องได้รับมาตรฐาน และสามารถรับประกันได้ว่าจะปลอดภัยสูงที่สุดค่ะ

เติมไขมันอยู่ได้นานไหม?

เมื่อไขมันถูกฉีดเข้าไปยังบริเวณที่ต้องการแล้ว แน่นอนว่าผลลัพธ์จะคงอยู่* และจะมีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่สลายไป เนื่องจากร่างกายของเราจะดูดซับไขมันบางส่วนตามธรรมชาติ หากต้องการเติมไขมันเพิ่ม ก็สามารถนัดหมายกับทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อฉีดไขมันในครั้งถัด ๆ ไปได้ค่ะ

หมายเหตุ : การเติมไขมันจะติดอยู่ได้นานหรือไม่ เกิดจากปัจจัยหลายด้านด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น

  • คุณภาพของไขมันจากตัวคนไข้เอง
  • เครื่องดูดไขมัน, วิธีการดูดไขมันที่เลือกใช้
  • เทคนิคความเชี่ยวชาญของแพทย์
  • การดูแลตัวเองหลังการเติมไขมัน

เคล็ดลับแนะนำ เพื่อช่วยให้ไขมันที่เติมอยู่นานขึ้น

เคล็ด(ไม่)ลับ ที่จะช่วยยืดระยะเวลาให้ไขมันของเราที่เติมมาอยู่คงทนและยาวนานมากขึ้น

  • หลังจากเติมไขมันเรียบร้อยแล้ว พยายามหลีกเลี่ยงการกดทับบริเวณที่ฉีดเพื่อช่วยให้เซลล์ไขมันอยู่ได้ยาวนานมากขึ้น
  • งดการออกกำลังกายเป็นระยะเวลา 3 สัปดาห์
  • ในช่วง 10 วันแรกหลังการผ่าตัดควรรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง อย่างถั่วหรืออกไก่ และอีกเคล็ดลับดี ๆ ก็คือภายใน 3 วันแรก ขอแนะนำให้รับประทานดาร์กช็อกโกแลตร่วมด้วยค่ะ

สรุป

          จะสังเกตเห็นได้ว่าประวัติศาสตร์การเติมไขมันนั้น เกิดขึ้นมายาวนานหลายร้อยปีแล้วนะคะ และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ก็ได้ช่วยให้วงการศัลยกรรมความงาม และวงการดูดไขมันร่วมพัฒนาไปควบคู่กัน เพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของหนุ่ม ๆ สาว ๆ อยู่เสมอ และแน่นอนว่าแค่ตอบโจทย์อย่างเดียวยังไม่พอ ต้องมาพร้อมกับความเป๊ะปังได้ประสิทธิภาพและปลอดภัยด้วยค่ะ

สำหรับใครที่อยากลดสัดส่วน พร้อมกับเอาไขมันไปเติมเต็มต่อ หมอขอแนะนำให้ใช้เครื่องดูดไขมันพลังน้ำ body-jet เลยค่ะ ทั้งเอาไขมันไปเติมได้ เจ็บน้อย ระบมช้ำน้อย อีกทั้งยังใช้เวลาในการพักฟื้นไม่นานเลยค่ะ ซึ่งทาง Amara Clinic ของเรามีความเชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะ และได้รับรางวัลการันตีผลงานมากมายเลยค่ะ

  • Body-jet Education Center : ศูนย์การสอนดูดไขมันพลังน้ำ Body-jet ประจำประเทศไทย
  • The Most Body-jet Users : คลินิกที่มีจำนวนเคส Body-jet เยอะที่สุดในประเทศไทย
  • หมอมะปรางและหมอไอซ์ เป็นอาจารย์แพทย์สอน Body-jet ประจำประเทศไทย

ปรึกษาแพทย์ ฟรี!

ลงทะเบียน คลิกที่นี่
สาขารัชโยธิน 062-946-2397
สาขาราชพฤกษ์ 062-556-6623
สอบถามโปรโมชั่น LINE: @amaraclinic
หรือคลิกลิงค์นี้ได้เลย https://line.me/R/ti/p/@amaraclinic

KOL Trainer
แพทย์ผู้สอนดูดไขมัน Water-jet

พญ.กรพร สถิตวิทยานันท์ (หมอมะปราง)

ลงทะเบียนปรึกษาฟรี!


              บทความนี้ จัดทำขึ้นโดย Amara Clinic (เอมาร่า คลินิก) ขอสงวนสิทธิ์ในการห้ามมิให้ผู้ใดใช้ประโยชน์ คัดลอก ทำซ้ำ หรือเผยแพร่บทความนี้ในนามอื่น (ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหา, ข้อมูลทั้งหมด หรือบางส่วนก็ตาม) โดยไม่ได้รับอนุญาต หากพบเจอจะถูกดำเนินการตามกฎหมาย

    ใส่ความเห็น

    อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *