คนที่ตัวผอมแต่หน้าอ้วนเพราะแก้มเยอะ จะมีสาเหตุมาจากการสะสมของไขมันบริเวณแก้มครับ แต่ก็แบ่งการรักษาออกไปตามตำแหน่งของไขมันด้วยนะครับ จากภาพด้านล่างนี้จะเห็นได้ว่ามีไขมันทั้งด้านบนและด้านล่าง บางคนก็ไม่ได้ซีเรียสหรือมองว่ามันเป็นปัญหาอะไร เพราะไขมันบริเวณแก้มจะทำให้หน้าเราดูเด็กลง ดูน่ารัก สำหรับคนที่ต้องการกำจัดแก้มออกไปสามารถทำได้ 3 วิธีดังนี้

1.ฉีดเมโสแฟต หรือ ฉีดสลายไขมัน

การฉีดแฟตจะมีการผสมตัวยาขึ้นมาและฉีดเข้าไปสลายเซลล์ไขมันชั้นบนจากภายใน ทำให้แทบไม่มีแผลหลังทำเลยครับ แผลจะจางหายไปไวมาก เพราะเป็นเพียงรอยเข็มฉีดยาที่เล็กมาก ๆ ซึ่งการฉีดแฟตแม้จะช่วยลดไขมันได้ครั้งละประมาณ 10-20% เท่านั้น มีราคาย่อมเยาที่สุด และต้องฉีดหลาย ๆ ครั้งจึงจะเห็นผลชัด

2.ดูดไขมันแก้ม หรือ ดูดไขมันกรอบหน้า

การดูดไขมันเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยลดไขมันชั้นบนได้ โดยจะมีการเปิดแผลจากภายนอกเลยอาจทำให้มองเห็นแผลชัดเจนได้ครับ ส่วนใหญ่คนที่ดูดไขมันแก้มจะดูดไขมันเหนียงร่วมด้วย แต่เราต้องระวังเรื่องการคัดเลือกคลินิกดูดไขมันให้ดีนะครับ เพราะการผ่าตัดจากภายในนั้น หากไม่ได้เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานอาจส่งผลให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาได้

3.ตัดไขมันกระพุ้งแก้ม

สำหรับคนที่มีไขมันสะสมบริเวณที่ชั้นล่างของกล้ามเนื้อ เราจะใช้สองวิธีด้านบนไม่ได้นะครับ เราจะต้องอาศัยการผ่าตัดจากภายในช่องปากเพื่อเอาไขมันบริเวณกระพุ้งแก้มออกมา เรียกว่าการ “ตัดไขมันกระพุ้งแก้ม” ไขมันจะไม่โดนสลายก่อนนำออกมาเหมือนการดูดไขมัน ดังนั้น เราจึงได้ก้อนไขมันเป็นพวง ๆ ออกมาครับ

บางคนที่เป็นคนตัวผอมแต่หน้าอ้วน อาจมีสาเหตุมาจากการมีกระดูกกรามที่ใหญ่ จับบริเวณกรอบหน้าจะรับรู้ได้ถึงความแข็งของกระดูก ไม่ค่อยมีชั้นไขมันนิ่ม ๆ ให้เราได้สัมผัส คนที่ตัวผอมแต่หน้าอ้วนเพราะกรามใหญ่สามารถปรับรูปหน้าให้เรียวได้ โดยการศัลยกรรมผ่าตัดกราม หรือการผ่าตัด V-Line ครับ

ปัญหาหน้าหย่อนคล้อยมักจะเกิดขึ้นกับคนที่เริ่มมีอายุแล้ว หรืออยู่ในช่วงวัย 30 ขึ้นไป เพราะไขมันหน้า (Baby Fat) มันสลายหายไป และผิวเริ่มผลิตคอลลาเจนน้อยลงไปเรื่อย ๆ ทุกปี จึงทำให้ผิวหนังค่อย ๆ คล้อยตัวลงมา ไม่เต่งตึง ไม่กระชับเหมือนเดิม เลยทำให้เราดูเป็นคนมีแก้มบ้าง มีเหนียงบ้าง หรือหน้าดูบานดูใหญ่บ้างนั่นแหละครับ วิธีการรักษาเคสแบบนี้ สามารถทำได้โดยกระนวดกระชับด้วยพลังความร้อน การใช้เครื่องยกกระชับจากภายนอก และการยกกระชับจากภายใน ดังนี้ 

1. Venus Legacy

Venus Legacy (วีนัสเลกาซี่) เครื่องนวดพลังงานความร้อนที่อาศัยพลังคลื่นวิทยุ (RF : Radio frequency) ในการกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนัง พลังความร้อนจะลงลึกเข้าไปได้ถึงชั้นไขมันเลยล่ะครับ ซึ่งเครื่องตัวนี้แตกต่างกับเครื่องนวดกระชับสัดส่วนทั่วไปในหลาย ๆ ด้าน ทั้งมาตรฐาน เทคโนโลยี ประสิทธิภาพ จำนวนครั้งที่เห็นผล และรวมไปถึงราคาของตัวเครื่องที่เป็นหลักล้านด้วยครับ

2. Ultraformer III

บางคนอาจจะไม่คุ้นเคยกับเครื่อง Ultraformer III สักเท่าไหร่นะครับ เพราะเครื่องนี้เป็นเครื่องตัวใหม่เพิ่งได้รับความนิยมไม่นานมานี้ แต่ถ้าหมอพูดถึง HIFU คงจะนึกออกใช่มั้ยครับ ตัวนี้ใช้พลังคลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์ในการยกกระชับใบหน้าให้เล็กลงเหมือนกับไฮฟู่ แต่พลังงานจะมีความเข้มข้นสูงกว่า (MMFU : Micro & Macro Focused Ultrasound) จึงลงลึกได้ถึงชั้นกล้ามเนื้อใบหน้าส่วนบน (SMAS) และได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าไฮฟู่ถึง 5 เท่า

3. J Plasma

J Plasma (เจพลาสมา) นวัตกรรมในการยกกระชับผิวใหม่ล่าสุดจากอเมริกา ตัวนี้จะเป็นการผสมผสานพลังงานทั้งสองตัวเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ในการยกกระชับที่ยอดเยี่ยมที่สุด (Helium Plasma + Radio frequency) เครื่อง J Plasma สามารถทำให้ผิวที่หย่อนคล้อยมีความกระชับเต่งตึงขึ้นได้ทันทีหลังทำ 10-30% เนื่องจากเป็นการสอดท่อพลังงานลงไปที่ใต้ผิว จึงสามารถทำให้เนื้อเยื่อใต้ผิวหดตัวลงอย่างตรงจุด จากนั้นจะกระชับขึ้นอย่างต่อเนื่องถึง 6 เดือน ลองดูคลิปด้านล่างนี้เพิ่มเติมได้ครับ

Amara Clinic เราคือศูนย์การสอนดูดไขมันพลังงานน้ำและเติมไขมันด้วย Body-jet ประจำประเทศไทย มีความเชี่ยวชาญและทำด้านการปรับรูปหน้า-ปรับรูปร่างโดยตรง นำโดยอาจารย์แพทย์สอนดูดไขมัน-เติมไขมันเฉพาะทาง มาตรฐานระดับสากล ไม่ว่าจะเป็นห้องผ่าตัดปลอดเชื้อ 99.97%, วางยาสลบ โดยวิสัญญีแพทย์แบบ 1:1, ห้องพักฟื้นระดับ VVIP, After Care ดูแลครบครัน, เครื่องมือฉุกเฉินครบตามมาตรฐานโรงพยาบาล และได้รับรางวัลการันตีผลงานจริง นอกจากนี้ยังมีรีวิวดูดไขมันมากที่สุดในประเทศไทยอีกด้วย

• รางวัล The Most Body-jet Users หรือคลินิกที่มีเคส Body-jet มากที่สุดในไทย 4 ปีซ้อน
• รางวัล No. 1 in Asia of Procedures Done in 2020-2021 หรือคลินิกที่มีเคส J Plasma มากที่สุดในทวีปเอเชีย 2 ปีซ้อน
• การันตีผลงานตลอด 6 เดือนหลังการรักษา
• แห่งเดียวในไทยที่มีเครื่องมือปรับรูปร่างครบที่สุด